01-heading.jpg

 

                                                          วิศวกร  VS ฟิสิกส์ยุคใหม่

                                                                                                           (ตอนที่๖)
                                                                                                Download PDF File

  

      ๑๐. ปัญหาของอีเธอร์ ถึงตอนนี้เราจะมาพิจารณารายละเอียดทางกายภาพ(PHYSICAL PROPERTY) ของอีเธอร์กันว่ามันเป็นอย่างไร ซึ่งเอาเข้าจริงๆแล้วเมื่อดูในประวัติศาสตร์กลับจะไม่พบว่ามันมีรายละเอียดที่ชัดเจนดังกล่าว รวมทั้ง ไม่มีผลการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนว่ามันมีอยู่จริง มีเพียงแต่เหตุผลที่ฝ่ายสนับสนุนใช้อ้างว่ามีอีเธอร์นั้น มาจากแนวคิดที่เชื่อมั่นว่า การเกิดปรากฎการณ์ต่างๆขึ้นในธรรมชาติจะต้องมีตัวต้นเหตุ และก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีอะไรที่เกิดขึ้นมาได้แบบลอยๆ หรือเกิดขึ้นจากการสร้างของพระเจ้า (เพราะนักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ไม่เชื่อเรื่องของพระเจ้า)

     อนึ่งทางฝ่ายที่สนับสนุนการมีอีเธอร์ ได้พยายามอธิบายกลไกรการทำงานของอีเธอร์สำหรับการเคลื่อนที่ของคลื่นแสง (ซึ่งเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า) โดยใช้หลักการคล้ายกับกลไกรการทำงานของคลื่นเสียงซึ่งมีอากาศเป็นตัวกลาง แต่ปัญหาที่สำคัญก็คือเราไม่สามารถพิสูจน์ว่าอีเธอร์มีอยู่จริงได้ง่ายๆเหมือนกับการมีอยู่ของอากาศ ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ส่วนใหญ่จึงเชื่อตามแนวคิดของคุณปู่ไอน์สไตน์ที่บอกว่า อวกาศเป็นที่ว่างเปล่า จึงไม่มีอะไรที่เม็ดก้อนคลื่นแสงจะใช้เป็นตัวกลางในการเคลื่อนที่ (ตามที่เราได้เกริ่นไว้ในตอนที่ ๓ หัวข้อ ๔.๒)

      ๑๑. การทดลองของไมเกลสัน (MICHELSON & MORLEY EXPERIMENT) เป็นการทดลองสำคัญที่มีชื่อเสียงซึ่งคุณปู่ไอน์สไตน์ใช้อ้างอิงในการพิสูจน์ว่าอวกาศเป็นที่ว่างเปล่า โดยใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า INTERFEROMETER (ตามรูปซ้ายมือ) โดยใช้หลักการวัดเปรียบเทียบความเร็วของการเคลื่อนที่ของแสงที่เดินทางขนานและตั้งฉากกับการหมุนของโลก (ตามรูปขวามือ)

     สำหรับการพิจารณาผลการทดลองที่เกี่ยวข้องกับสภาวะของอวกาศว่าเป็นที่ว่างเปล่าหรือมีอีเธอร์อยู่หรือไม่นั้น เขาใช้หลักการที่ว่า ถ้ามีอีเธอร์อยู่รอบๆโลกเราแล้ว เมื่อโลกหมุนรอบตัวเอง(ไปทางทิศตะวันออก) ก็จะเสมือนกับว่ามีลมอีเธอร์หมุนไปในทิศทางตรงกันข้าม (ทิศตะวันตก) ในลักษณะเดียวกับที่เราเห็นว่าดวงอาทิตย์หมุนรอบโลกไปทางทิศตะวันตก

 

 

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ michelson morley experiment

 

รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

 Source: https://www.olympus-lifescience.com/

  Source: http://www.conspiracyoflight.com/

                                                                                     รูปอุปกรณ์ – หลักพิจารณาผลการทดลองไมเกลสัน

 

     ผลการจากทดลองที่ได้ พบว่าความเร็วของการเคลื่อนที่ของแสงที่เดินทางขนานและตั้งฉากกับการหมุนของโลก – เท่ากัน ซึ่งเสมือนว่ากับโลกไม่ได้หมุน แต่ว่าเรารู้แน่ชัดอยู่แล้วว่าโลกไม่ได้อยู่นิ่ง ดังนั้นผลที่ได้นี้สามารถตีความหมายได้สองอย่างคือ อย่างแรกเป็นการตีความหมายของฝ่ายคุณปู่ไอน์สไตน์ที่อธิบายว่า เกิดการหดตัวของแท่งหินสี่เหลี่ยมที่ใช้วางอุปกรณ์ (ตามรูปซ้ายมือ) ตามหลักของทฤษฎีสัมพัทธภาพของคุณปู่ๆที่บอกว่าไม่มีอีเธอร์  ส่วนแบบที่สองเป็นฝ่ายตรงข้ามกับคุณปู่ไอน์สไตน์ อธิบายว่าอีเธอร์ที่มีอยู่ติดผิวโลกถูกลากไปตามการหมุนของโลก(AETHER DRAGED) จึงดูเสมือนว่าโลกไม่ได้หมุน

     ถึงจุดนี้ได้มีการโต้เถียงกัน โดยฝ่ายของคุณปู่ไอน์สไตน์แย้งแนวคิดที่ว่าอีเธอร์ถูกโลกลากไปด้วยไม่น่าจะถูกต้อง เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นแลงที่เดินทางจากดาวต่างๆมายังโลกก็จะเพี้ยนไป (STAR ABERRATION) ส่วนฝ่ายตรงกันข้าม (โดยตัวคุณปู่ไมเกลสันเอง) ได้แก้เกี้ยวโดยอธิบายว่าปัญหานี้ไม่เกิดเพราะความหนาของอีเธอร์ส่วนที่ถูกโลกลากไปด้วยนั้นน้อยมากเมื่อเทียบกับระยะทางจากดาวมายังโลก

     ส่วนปัญหาที่สำคัญของฝ่ายของคุณปู่ไอน์สไตน์ ที่บอกว่า เกิดการหดตัวของแท่งหินสี่เหลี่ยมที่ใช้วางอุปกรณ์ (ซึ่งเราได้ทำให้มองเห็นภาพได้ง่ายขึ้น โดยดูจากรูปข้างล่างที่แสดงให้เห็นถึงการหดตัวของนาฬิกาเพราะโลกหมุนรอบตัวเอง) นั้น ไม่สามารถอธิบายและพิสูจน์ให้เห็นจริงได้ เพียงแต่บอกว่ามันเป็นไปตามหลักของทฤษฎีสัมพัทธภาพเท่านั้น อนึ่งเป็นที่น่าสังเกตและสงสัยต่อบรรดาวิศวกรอย่างเราๆ ว่าทำไม-อย่างไร ที่เพียงแต่โลกหมุนรอบตัวเองแล้วมีผลทำให้แท่งหินที่แข็งมากหดตัวได้???

 

 

magic clock-mmexp.jpg

                                                                                    รูปที่แสดงให้เห็นถึงการหดตัวของนาฬิกาที่วางบนแท่นหิน

 

 

      ๑๒. อีเธอร์ VS สนามพลังฮิกส์ ถึงตอนนี้จะวกกลับไปทบทวนว่าในตอนที่ ๒ หัวข้อ ๓ ซึ่งเราได้สรุปไว้ว่านักวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์ถึงการมีอยู่ของ สนามพลังฮิกส์ที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งในจักรวาล (ที่ก่อเกิดเป็นอนุภาคฮิกส์ - อนุภาคพระเจ้า) โดยเป็นไปตามทฤษฎีโครงสร้างมาตรฐานของอนุภาคทางฟิสิกส์

     สำหรับสนามพลังฮิกส์นี้มีคุณสมบัติทางด้านเทคนิคโดยคร่าวๆว่า เป็นสนามพลังแบบสกาลาร์ (SCALAR FIELD) ที่มีขนาดสม่ำเสมอต่อเนื่องและเท่ากันทุกหนทุกแห่งแต่ไม่มีทิศทาง จึงเป็นที่น่าสังเกตว่า มันมีคุณสมบัติเหมือนกับอีเธอร์ ที่เราเพิ่งได้กล่าวถึงมาแล้วอย่างยืดยาว และจะเป็นไปได้ไหมถ้าเราจะพูดว่า การค้นพบสนามพลังฮิกส์นี้เป็นการพิสูจน์ว่าอีเธอร์มีอยู่จริง?

     อนึ่งมีข้อที่น่าสังเกตอีกอย่างก็คือ ถ้าการค้นพบสนามพลังฮิกส์นี้เป็นการพิสูจน์ว่าอีเธอร์มีอยู่จริง มันจะเป็นเรื่องสำคัญที่น่าสนใจมาก เพราะแนวคิดของอีเธอร์นั้น เริ่มต้นจากเรื่องปรัชญาที่นักวิทยาศาสตร์ยุคเก่าได้จินตนาการขึ้นมาเพื่อใช้เป็นตัวกลางที่ให้คลื่นแสงใช้เดินทาง เช่นเดียวคลื่นอื่นๆ (ทุกชนิด) ที่มีอยู่ในธรรมชาติ และเพื่อให้เห็นภาพในรายละเอียดเกี่ยวเนื่องกับเรื่องนี้ เราจะยกเอากรณีของคลื่นเสียง (ซึ่งพวกเราคุ้นเคย) มาเป็นตัวอย่างในการพิจารณาเปรียบเทียบ ซึ่งมีโดยสรุปคือ

     ก. อากาศซึ่งเป็นตัวกลางที่คลื่นเสียงใช้ในการดินทางนั้น เรามองไม่เห็นมันในสถานะที่เป็นก๊าซในอุณหภูมิปกติ แต่สามารถตรวจสอบได้โดยทางอ้อม เช่นการทดลองง่ายๆตามรูป เมื่อลำโพงเครื่องสียงสั่นจะทำให้อากาศสั่นตาม เกิดเป็นคลื่นเสียงที่เคลื่อนที่เข้าท่อโค้งแล้วออกเข้าหูในอีกด้าน และ เมื่อเปรียบเทียบคลื่นเสียงที่ออกจากปลายท่อของรูป(a) กับ (b) จะพบว่าในรูปแรกคลื่นเสียงที่ออกจะเท่ากับส่วนที่เข้าไป ในขณะที่รูปหลังคลื่นเสียงส่วนที่ออกจากปลายท่อจะหายไป

      ข. ถึงตอนนี้มีปัญหาเกิดขึ้นว่า ทำไมคลื่นเสียง (ซึ่งเป็นพลังงาน) ที่ออกจากท่อของรูป (b) หายไป และมันไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น เพราะจะขัดกับกฎการคงตัวของพลังงานซึ่งเป็นหลักพื้นฐานที่สำคัญอย่างหนึ่งของธรรมชาติ ที่กล่าวว่าพลังงานไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้จากความว่างเปล่าหรือสูญหายไปได้เฉยๆ ดังนั้นเหตุผลเดียวที่จะเป็นไปได้ก็คือคลื่นพลังงานเสียงในท่อของกรณี (b) หักล้างกันหมด

 

sound wave

                                                                                                            รูปการทดลองเรื่องคลื่นเสียง

 

     ค. การทดลองนี้เป็นการพิสูจน์ทางอ้อมที่บอกถึงการมีอยู่ของอากาศซึ่งเป็นตัวกลางของคลื่นเสียง และสำหรับการพิสูจน์ทางอ้อมนี้ได้ใช้ในหลายกรณีในทางวิทยาศาสตร์ โดยตัวอย่างที่สำคัญที่เรากำลังพูดถึงก็คือการค้นพบอนุภาคพระเจ้า (ซึ่งเป็นก้อนคลื่น) นั้น เป็นเพียงการพิสูจน์ถึงการมีอยู่ของสนามพลังฮิกส์ (ที่เรามองไม่เห็น) ซึ่งจะเหมือนในกรณีของก๊าซอากาศ แต่ถ้าเราลดอุณหภูมิอากาศลงมันก็จะเปลี่ยนสภาพเป็นก้อนของเหลวที่มองเห็นได้

     ง. ท้ายนี้ถ้าเราสามารถทำการทดลองเกี่ยวกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งมีอีเธอร์เป็นตัวกลาง (ในลักษณะเดียวกับการการทดลองเกี่ยวกับคลื่นเสียง ที่มีอากาศเป็นตัวกลาง) ได้สำเร็จ และนำผลที่ได้ไปเปรียบเทียบกับการพิสูจน์ถึงการมีอยู่อนุภาคพระเจ้า ซึ่งมีสนามพลังฮิกส์เป็นตัวกลาง แล้วเราก็จะค้นพบสิ่งที่ยิ่งใหญ่ นั่นก็คือ เราได้พิสูจน์ว่าสนามพลังฮิกส์นี้แท้จริงแล้วมันก็คืออีเธอร์ที่เรากำลังค้นหาอยู่นั่นเอง ดังนั้นในตอนต่อไปเราจะมาดูกันว่าเราจะทำมันได้ไหม และทำอย่างไร อย่าพลาดกันละ เรื่องกำลังจะถึงจุดไคลแมกครับ