01-heading.jpg

 

                                                          วิศวกร  VS ฟิสิกส์ยุคใหม่

                                                                                                           (ตอนที่๕)
                                                                                                Download PDF File

 

          

      ๘. อีเธอร์คืออะไร ถึงตอนนี้เราจะมาพิจารณารายละเอียดของสิ่งที่ถูกเรียกกันว่า “อีเธอร์” ตามคำภาษาอังกฤษว่า AETHER หรือ ETHER (สะกดคำเหมือนชื่อยาสลบ) ซึ่งเมื่อดูคำแปลในพจนานุกรม (วิทยาศาสตร์) จะอธิบายว่า เป็นสสารสมมุติที่มองไม่เห็นแต่เชื่อว่ามีอยู่ในพื้นที่ว่างของอวกาศซึ่งแสงใช้เป็นตัวกลางในการเคลื่อนที่ และโดยอันที่จริงแล้วความคิดเรื่องอีเธอร์นี้มีมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณในยุคของอริสโตเติลและพลาโต้ (ALISTOTLE – PLATO) สองนักวิทยาศาสตร์ (ลูกศิษย์ – อาจารย์) ผู้เลื่องชื่อ ที่ได้ถือว่าอีเธอร์เป็นธาตุพื้นฐานที่ห้า เพิ่มเติมจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งกระจายอยู่ทุกหนทุกแห่งในทรงกลมของจักรวาลรอบโลก ในระดับสูงตั้งแต่วงโคจรของดวงจันทร์ขึ้นไป (วงสีขาวที่1ตามรูป)  

 

 https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/9/98/Sanzio_01_Plato_Aristotle.jpg/220px-Sanzio_01_Plato_Aristotle.jpg 

File:Ptolemaicsystem-small.png

SOURCE: https://upload.wikimedia.org/wikipedia

         SOURCE: http://www.ucmp.berkeley.edu

                                                                                     รูปพลาโต – อริสโตเติลและจักรวาลทรงกลมรอบโลก(กลม)

                            

     ถัดมาในยุคของเซอร์ไอแซคนิวตัน ซึ่งได้กล่าวในหนังสือ “พริ๊นซิเปีย”  (THE PRINCIPIA) ว่า อีเธอร์เป็นตัวกลางที่ทำให้เกิดแรงโน้มถ่วง ในจักรวาลแบบแบบนิวตัน (NEWTONIAN UNIVERSE) และได้บรรยายว่าดวงดาวต่างๆเคลื่อนที่อย่างสะหม่ำเสมอโดยดึงดูดซึ่งกันและกันภายใต้กฎแรงโน้มถ่วงทางกลศาสตร์ (MECHANICAL LAWS) และที่น่าสนใจก็คือ แนวคิดเรื่องจักรวาลแบบนิวตันนี้ได้พาไปสู่แนวคิดที่ว่า การทำงานของจักรวาลดังกล่าวนี้ สามารถเปรียบเทียบได้ว่าเหมือนกับการทำงานของเครื่องจักรกลนาฬิกา (MECHANICAL CLOCK) จึงถูกเรียกว่า CLOCKWORK UNIVERSE ซึ่งเราจะกล่าวต่อไป

  

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ newton

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ sir isaac newton

 SOURCE: https://www.famousscientists.org

     SOURCE: https://imgflo.herokuapp.com

                                                                                                   รูปเซอร์ไอแซคนิวตันและหนังสือพริ๊นซิเปียที่เลื่องชื่อ

 

      ๙. จักรวาลแบบเครื่องจักรกล ตามที่ได้เปรียบเทียบว่าในยุคของนิวตัน จักรวาลทำงานเหมือนเครื่องจักรกลนาฬิกา (ดังที่แสดงในรูปข้างล่างด้านขวามือ)  ซึ่งทำงานตามหลักการทางกลศาสตร์ ดังนั้นจึงไม่น่าจะแปลกที่จะเรียกจักรวาลดังกล่าวว่าเป็น จักรวาลแบบเครื่องจักรกล (MECHANICAL UNIVERSE) และอันที่จริงแล้วเราน่าพูดได้อีกว่า จักรวาลแบบนิวตันก็คือจักรวาลแบบเครื่องจักรกลนั่นเอง หรือว่าจะไม่ใช่ ?

     อันที่จริงแล้ว จักรวาลแบบนิวตันนั้น มีภาพของพระเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ด้วย (ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่แปลกในสมัยนั้น โดยเฉพาะตัวนิวตันเองก็เป็นคนเคร่งศาสนา ) โดยที่ท่านกล่าวว่าจักรวาลนี้ พระเจ้าได้สร้างขึ้นในอดีตกาล และ ทำงานเหมือนเครื่องจักรกลขนาดใหญ่ โดยที่ตัวพระเจ้าเองซึ่งมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง (THE OMNIPRESENCE OF GOD) ทำหน้าที่เป็นอีเธอร์ ที่ทำให้ดวงดาวต่างๆเคลื่อนที่อยู่ภายใต้กฎแรงโน้มถ่วงทางกลศาสตร์

     อีกอย่างที่น่าสนใจก็คือ นิวตันเองยังเชื่อว่าเครื่องจักรกลของจักรวาลนี้ พระเจ้าต้องคอยดูแลปรับแต่งให้เที่ยงตรงอยู่เสมอ  ซึ่งในจุดนี้ทำให้ท่านถูกวิจารณ์จากนักวิทยาศาสตร์บางคน (ที่แสดงด้วยการล้อเลียนผ่านทางภาพตลกดังที่ปรากฏในรูปด้านซ้ายมือ) โดยให้ความเห็นว่าพระเจ้าน่าจะสร้างเครื่องจักรที่สมบูรณ์โดยไม่ต้องมีการบำรุงรักษาเพิ่มเติมอีก

 

http://abyss.uoregon.edu/%7Ejs/images/planetaria.gif

https://www.lhup.edu/%7Edsimanek/ideas/modtimes.jpg

        SOURCE: http://abyss.uoregon.edu

           SOURCE: https://www.lhup.edu

                                                                                          รูปจักรวาลแบบเครื่องจักรกลนาฬิกาและการบำรุงรักษา

 

     ท้ายนี้มีประเด็นที่สำคัญที่น่าสนใจ เพราะเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ล้วนๆซึ่งไม่เกี่ยวกับพระเจ้าเลย กล่าวคือเมื่อดูความหมายของคำว่า MECHANICAL UNIVERSE ในเว็บ WIKIPEDIA จะพบว่ามีหลายความหมาย (เช่นหมายถึง CLOCKWORK UNIVERSE ตามที่ได้กล่าวไว้แล้ว) แต่มีหนึ่งความหมายที่สำคัญเพราะมันเป็นแนวคิดทางทฤษฎีด้านปรัชญาของคำว่า MECHANISM ซึ่งอธิบายว่า ปรากฏการต่างๆในธรรมชาติทั้งหมดของจักรวาล (โดยในที่นี้ราจะยกเว้นเรื่องที่เกี่ยวกับตัวมนุษย์และจิตใจ) เป็นสะเหมือนการทำงานอย่างสัมพันธ์กันระหว่างส่วนต่างๆของเครื่องกรไกลมหึมาที่สลับซับซ้อน โดยท่านผู้อ่านจะเห็นว่าไม่มีปรากฏการต่างๆในธรรมชาติที่เกิดขึ้นแบบลอยๆ หรือพระเจ้าสร้างขึ้นเลย    

     ก่อนจะจบตอน ขอสรุปว่าถึงตอนนี้เราก็ได้ทราบแล้วถึงความเป็นมาของตัวกลางอีเธอร์ซึ่งทำหน้าที่เป็นสะเหมือนวัตถุดิบสำหรับเครื่องกลไกรที่ทำให้เกิดปรากฎการณ์ต่างๆขึ้นในธรรมชาติ เช่น แรงโน้มถ่วง การเกิดและเคลื่อนที่ของแสง เป็นต้น และในตอนต่อไปเราจะมาดูกันซิว่า แล้วจริงๆมันมีอีเธอร์ที่ว่าอยู่หรือไม่อย่างไร???